สำหรับเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับนักศึกษา หากมีปัญหาหรือข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับการเป็นนักศึกษาของสถาบัน โปรดอ่านที่นี่ก่อน

01 : ขณะอยู่ในสถาบัน นักศึกษาหญิงจะต้องแต่งกายอย่างไร [ไปบนสุด]

        กระโปรงไม่ยาว ไม่สั้นจนเกินไป เสื้อแขนสั้น-ยาว ตามความเหมาะสม รองเท้าหุ้มส้น (กระโปรง เสื้อ รองเท้า สีสุภาพ) ห้ามสวมกางเกง เสื้อยืด และรองเท้าแตะ

02 : ขณะอยู่ในสถาบัน นักศึกษาชายจะต้องแต่งกายอย่างไร [ไปบนสุด]

        ให้อ่านระเบียบสภาประจำสถาบันราชภัฎนครสวรรค์ ว่าด้วยการแต่งกายของนักศึกษาสถาบันราชภัฎนครสวรรค์ พ.ศ. 2540

03 : ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร นักศึกษาจะต้องแต่งกายอย่างไร [ไปบนสุด]

        นักศึกษาหญิง แต่งกายเช่นเดียวกับในงานพิธีต่าง ๆ แต่รองเท้าหุ้มส้นสีดำต้องไม่มีลวดลายและส้นสูงไม่เกิน 2 นิ้ว สวมถุงน่องสีเนื้อ สำหรับผู้ที่เป็นข้าราชการ หากแต่งเครื่องแบบให้ใช้เครื่องแบบสีขาว

        นักศึกษาชาย แต่งชุดสากลทรงสุภาพ สีสุภาพ ไม่มีลวดลาย เสื้อเชิ้ตสีขาวไม่มีลวดลาย ผูกเนคไทสีและแบบตามที่สถาบันกำหนด รองเท้าหุ้มส้นสีดำ ไม่มีลวดลาย ถุงเท้าสีดำ สำหรับผู้ที่เป็นข้าราชการ หากจะแต่งเครื่องแบบให้ใช้เครื่องแบบปกติขาว

04 : นักศึกษาจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการศึกษาอะไรบ้าง [ไปบนสุด]

        ค่าธรรมเนียมการศึกษาภาคปกติ เข้าศึกษาตั้งแต่ปี 2554

        ค่าธรรมเนียมการศึกษาภาค กศ.บป. เข้าศึกษาตั้งแต่ปี 2554

        ค่าธรรมเนียมการศึกษาภาคปกติ เข้าศึกษาตั้งแต่ปี 2549

        ค่าธรรมเนียมการศึกษาภาค กศ.บป. เข้าศึกษาตั้งแต่ปี 2549

05 : นักศึกษาที่ได้เกียรตินิยมต้องมีคุณสมบัติอย่างไร [ไปบนสุด]

        ที่มา : ระเบียบมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค วาดวยการประเมินผลการศึกษาระดับอนุปริญญาและระดับปริญญาตรี พ.ศ. 2550

        ขอ 18 ผูสําเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี จะไดรับเกียรตินิยมตองมีคุณสมบัติดังนี้

                (1) ปริญญาตรี หลักสูตร 4 ป หลักสูตร 5 ป และหลักสูตรไมนอยกวา 6 ป เมื่อศึกษาครบตามหลักสูตรแลวไดคาระดับคะแนนเฉลี่ยสะสมไมนอยกวา 3.60 จะไดรับเกียรตินิยมอันดับหนี่ง และไดคาระดับคะแนนเฉลี่ยสะสมไมนอยกวา 3.25 จะไดรับเกียรตินิยมอันดับสองหลักสูตรปริญญาตรี (ตอเนื่อง) สอบไดคาระดับคะแนนเฉลี่ยสะสมจากระดับอนุปริญญาหรือเทียบเทาไมนอยกวา 3.60 และศึกษาครบตามหลักสูตรไดคาระดับคะแนนเฉลี่ยจากการศึกษาในมหาวิทยาลัยไมนอยกวา 3.60 จะไดรับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง และไดคาระดับคะแนนเฉลี่ยสะสมจากระดับอนุปริญญาหรือเทียบเทาไมนอยกวา 3.25 และศึกษาครบตามหลักสูตรไดคาระดับคะแนนเฉลี่ยจากการศึกษาในมหาวิทยาลัยไมนอยกวา 3.25 จะไดรับเกียรตินิยมอันดับสอง

                (2) สอบไดในรายวิชาใด ๆ ไมต่ํากวา C ตามระบบคาระดับคะแนน หรือไมได F ตามระบบไมมีคาระดับคะแนน

                (3) ไมเคยเรียนซ้ํารายวิชาใด เพื่อเปลี่ยนคาระดับคะแนน

                (4) ไมเปนผูที่ศึกษาในปริญญาที่สอง

                (5) กําหนดเวลาการศึกษา สําหรับนักศึกษาภาคปกติ มีเวลาศึกษาไมเกิน 4 ภาคการศึกษาปกติสําหรับหลักสูตร 2 ป ไมเกิน 8 ภาคการศึกษาปกติสําหรับหลักสูตร 4 ป ไมเกิน 10
ภาคการศึกษาปกติ สําหรับหลักสูตร 5 ป และไมเกิน 12 ภาคการศึกษาปกติสําหรับหลักสูตรไม่นอยกวา 6 ป สวนนักศึกษา ภาคพิเศษ มีเวลาศึกษาไมเกิน 6 ภาคการศึกษาสําหรับหลักสูตร 2 ปไมเกิน 12 ภาคการศึกษาสําหรับหลักสูตร 4 ป ไมเกิน 15 ภาคการศึกษาสําหรับหลักสูตร 5 ปี และไมเกิน 18 ภาคการศึกษาสําหรับหลักสูตรไมนอยกวา 6 ป ยกเวนกรณีนักศึกษามีเวลาศึกษาเกินกําหนดแตไมเกินจํานวนภาคการศึกษาตามแผนการศึกษาที่มหาวิทยาลัยกําหนด

06 : ข้อปฎิบัติด้านความประพฤติในฐานะเป็นนักศึกษามีอะไรบ้าง [ไปบนสุด]

        นักศึกษาของสถาบันมีข้อปฎิบัติด้านความประพฤติดังนี้คือ

        1. ปฎิบัติตามกฏหมาย กฏ ระเบียบ ประกาศ คำสั่งหรือข้อบังคับของสภาสถาบันราชภัฎ หรือสถาบัน โดยเคร่งครัด

        2. ปฎิบัติตามหลักศีลธรรม จริยธรรมและวัฒนธรรมอันดีของสังคมไทยในทุกโอกาส

        3. เชื่อฟังคำสั่งหรือคำแนะนำตักเตือนของอาจารย์หรือเจ้าหน้าที่ของสถาบันผู้ปฎิบัติหน้าที่โดยชอบ

        4. รักษาชื่อเสียงของตนเอง และละเว้นการประพฤติใด ๆ ที่นำมาหรืออาจนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่ตน เอง บิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือสถาบัน

        5. รักษาความสามัคคีในหมู่คณะ และละเว้นการประพฤติใด ๆ ที่อาจนำมาซึ่งการแตกความสามัคคีในคณะ

        6. แต่งกายในขณะที่อยู่ในสถาบันตามที่สถาบันกำหนด

        7. งดเว้นการเสพสุรา ของมึนเมา หรือสิ่งเสพติดใด ๆ ในบริเวณสถาบัน หรือขณะในเครื่องแบบนักศึกษา หรือเข้ามาในสถาบันในสภาพที่มึนเมา

        8. ไม่พกพาอาวุธ หรือวัตถุระเบิดเข้ามาในสถาบัน

        9. ไม่ก่อกวนหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการทะเลาะวิวาทกับนักศึกษาด้วยกันหรือกับผู้อื่น

        10. ไม่เล่นการพนันทุกประเภท

        11. ไม่จัดสิ่งพิมพ์ สิ่งวาด หรือสิ่งเขียน ออกโฆษณาเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต

        12. ไม่กระทำกรใด ๆ อันจะทำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นหรือของสถาบันชำรุดเสียหาย

        13. ไม่มีสิ่งผิดกฎหมายไว้ในครอบครอง

        14. ไม่นำขนบธรรมเนียม ประเพณี หรือวิธีการอันไม่เหมาะสมกับสังคมไทยมาปฎิบัติ

        15. ไม่จัดกิจกรรมใด ๆ ภายในสถาบันโดยมิได้รับการอนุญาต

        16. ไม่อยู่ในสถาบันเกินกว่า 20.00 น. นอกจากจะได้รับอนุญาต

        17. แสดงบัตรประจำตัวนักศึกษาได้ทันทีเมื่ออาจารย์หรือเจ้าหน้าที่สถาบันซึ่งปฎิบัติหน้าที่โดยชอบขอตรวจสอบ

07 : นักศึกษาที่กระทำผิดข้อปฎิบัติด้านความประพฤติจะได้รับการลงโทษอย่างไร [ไปบนสุด]

        ในกรณีที่นักศึกษากระทำผิด การลงโทษนักศึกษาจะอยู่ในดุลยพินิจของอธิการบดีหรือผู้ที่อธิการบดีมอบหมาย ซึ่งจะดำเนินการตามความเหมาะสมดังนี้

        1. การว่ากล่าวตักเตือน ใช้สำหรับนักศึกษาที่ได้รับการพิจารณาแล้วว่ากระทำความผิดไม่ร้ายแรง

        2. การทำทัณฑ์บน ใช้สำหรับนักศึกษาที่กระทำความผิดซ้ำ หรือทำนองเดียวกับที่เคยถูกลงโทษว่ากล่าวตักเตือนมาแล้ว และมีการพิจารณาแล้วว่านักศึกษาผู้นั้นรู้สำนึกในการกระทำความผิดการทำทัณฑ์บนให้ทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อนักศึกษาผู้กระทำผิดและอาจเชิญบิดา มารดา หรือผู้ปกครองมารับทราบความผิดและรับรองการทำทัณฑ์บนไว้ด้วยก็ได้

        3. การสั่งพักการเรียน ใช้สำหรับนักศึกษาที่กระทำความผิดร้ายแรง หรือเคยถูกลงโทษทำทัณฑ์บนมาแล้ว แต่ได้รับการพิจารณาแล้วว่านักศึกษาผู้นั้น อาจจะกลับตัวเป็นผู้ประพฤติดีได้ การลงโทษสั่งพักการเรียนให้แจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร หรือเชิญบิดามารดาหรือผู้ปกครองมารับทราบด้วย

        4. การให้ออกจากสถานศึกษา ใช้สำหรับนักศึกษาที่กระทำความผิดร้ายแรงหรือเคยถูกลงโทษให้พักการเรียนมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ภาคเรียน และได้รับการพิจารณาแล้วว่านักศึกษาผู้นั้นไม่สามารถจะกลับตัวเป็นผู้ประพฤติดีได้ การกระทำผิดที่ถือว่าร้ายแรงได้แก่ การกระทำตนไม่สมควร แก่สภาพการเป็นนักศึกษาอย่างยิ่ง

08 : นักศึกษาสามารถขอเอกสารที่เป็นหลักฐานแสดงผลการเรียนชนิดใดได้บ้าง [ไปบนสุด]

        หลักฐานการศึกษาที่สถาบันสามารถออกให้แก่นักศึกษาได้ มีดังนี้คือ

        1. ใบรับรองผลการเรียน สำหรับผู้ที่สำเร็จการศึกษาครบถ้วนตามหลักสูตร และได้รับอนุมัติผลการศึกษาแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติการให้อนุปริญญา หรือปริญญาบัตร ใบรับรองนี้มีอายุการใช้ 90 วันนับตั้งแต่วันที่ออกให้

        2. ใบรับรองคุณวุฒิ สำหรับผู้ที่สำเร็จการศึกษาครบถ้วนตามหลักสูตร และได้รับอนุมัติ การให้อนุปริญญาหรือปริญญาบัตรแล้ว แต่ยังไม่ได้รับอนุปริญญาหรือปริญญาบัตร

        3. ใบรายงานผลการศึกษา (Transcript) สำหรับผู้ที่กำลังศึกษาอยู่หรือผู้ที่สำเร็จการศึกษาแล้วโดยออกเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ได้

        4. ใบแทนหลักฐานแสดงผลการศึกษา สำหรับกรณีที่อนุปริญญาหรือปริญญาบัตรสูญหาย หรือเสียหายจนใช้การไม่ได้

        5. อนุปริญญาหรือปริญญาบัตร สำหรับผู้ที่สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร และได้รับอนุมัติการให้เรียบร้อยแล้ว

09 : การขอหลักฐานแสดงผลการศึกษามีวิธีการอย่างไร [ไปบนสุด]

        นักศึกษาที่ต้องการให้สถาบันออกหลักฐานแสดงผลการศึกษาประเภทใดประเภทหนึ่งจะต้องปฎิบัติตามขั้นตอนดังนี้

        1. เขียนใบคำร้อง ขอหลักฐานการศึกษา

        2. ยื่นใบคำร้องที่กลุ่มงานทะเบียนและประมวลผล พร้อมหลักฐ่นประกอบอื่น ๆ ตามความจำเป็น อาทิ รูปถ่ายขนาด 1 นิ้วครึ่ง 2 รูป ใบแจ้งความเอกสารสูญหาย ออกให้โดยสถานีตำรวจเพื่ออนุมัติ

        3. นำใบคำร้องที่อนุมัติแล้วไปชำระเงินค่าธรรมเนียมที่ฝ่ายการเงินในอัตราฉบับละ 100 บาท

        4. ส่งใบคำร้องที่แสดงว่าชำระเงินแล้วที่กลุ่มงานทะเบียนและประมวลผลเพื่อดำเนินการ

        5. รับหลักฐานแสดงผลการศึกษาที่ต้องการจากกลุ่มงานทะเบียนและประมวลผล ตามเวลากำหนดนัดซึ่งอยู่ระหว่าง 7 วัน

10 : นักศึกษาถูกสั่งให้พ้นสภาพการเป็นนักศึกษาทั้ง ๆ ที่ยังไม่จบหลักสูตรเนื่องจากสาเหตุอะไร [ไปบนสุด]

        ที่มา : ระเบียบมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค วาดวยการประเมินผลการศึกษาระดับอนุปริญญาและระดับปริญญาตรี พ.ศ. 2550

        ขอ 15 การพนสภาพการเปนนักศึกษาและการขอคืนสภาพการเปนนักศึกษา

                (1) นักศึกษาภาคปกติจะพนสภาพการเปนนักศึกษาในกรณีใดกรณีหนึ่งดังตอไปนี้

                        (ก) ผลการเรียนไดคาระดับคะแนนเฉลี่ยสะสมต่ํากวา 1.60 เมื่อสิ้นภาคการศึกษาปกติที่ 2 นับตั้งแตเริ่มเขาศึกษา

                        (ข) ผลการเรียนไดคาระดับคะแนนเฉลี่ยสะสมต่ํากวา 1.80 เมื่อสิ้นภาคการศึกษาปกติที่ 4 ที่ 6 ที่ 8 ที่ 10 และที่ 12 นับตั้งแตเริ่มเขาศึกษา

                        (ค) นักศึกษาลงทะเบียนเรียนครบตามที่หลักสูตรกําหนด แตยังไดคาระดับคะแนนเฉลี่ยสะสมต่ํากวา 1.80

                        (ง) มีสภาพเปนนักศึกษาครบ 4 ปการศึกษาในกรณีหลักสูตร 2 ป ครบ 8 ปการศึกษาในกรณีหลักสูตร 4 ป ครบ 10 ปการศึกษา ในกรณีหลักสูตร 5 ป ครบ 12 ปการศึกษา ในกรณีหลักสูตรไมนอยกวา 6 ป และขาดคุณสมบัติตามขอ 14(2) และ 14(3) ในการเปนผูที่สําเร็จการศึกษาตามหลักสูตร

                        (จ) ผลการเรียนรายวิชาเตรียมฝกประสบการณวิชาชีพ หรือรายวิชาการฝกประสบการณวิชาชีพต่ํากวา C เปนครั้งที่ 2

                        (ฉ) ถูกลงโทษใหพนสภาพการเปนนักศึกษาตามขอ 17 (4)

                        (ช) ไมลงทะเบียนรายวิชาในภาคการศึกษาปกติ หรือไมปฏิบัติตามเงื่อนไขการลาพักการศึกษาตามระเบียบมหาวิทยาลัย

                (2) นักศึกษาภาคพิเศษ จะพนสภาพการเปนนักศึกษาในกรณีใดกรณีหนึ่งดังตอไปนี้

                    (ก) ผลการเรียนไดคาระดับคะแนนเฉลี่ยสะสมต่ํากวา 1.60 เมื่อสิ้นภาคการศึกษาที่ 3 นับตั้งแตเริ่มเขาศึกษา

                    (ข) ผลการเรียนไดคาระดับคะแนนเฉลี่ยสะสมต่ํากวา 1.80 เมื่อสิ้นภาคการศึกษาที่ 6 ที่ 9 ที่ 12 ที่ 15 และที่ 18 นับตั้งแตเริ่มเขาศึกษา

                    (ค) นักศึกษาลงทะเบียนเรียนครบตามที่หลักสูตรกําหนด แตยังไดคาระดับคะแนนเฉลี่ยสะสมต่ํากวา 1.80

                    (ง) มีสภาพเปนนักศึกษาครบ 4 ปการศึกษาในกรณีที่เรียนหลักสูตร 2 ปครบ 8 ปการศึกษาในกรณีหลักสูตร 4 ป ครบ 10 ปการศึกษาในกรณีหลักสูตร 5 ป ครบ 12 ปการศึกษาในกรณีหลักสูตรไมนอยกวา 6 ป และขาดคุณสมบัติตามขอ 14(2) และ 14(3) ในการเปนผูที่สําเร็จการศึกษาตามหลักสูตร

                    (จ) ผลการเรียนรายวิชาเตรียมฝกประสบการณวิชาชีพ หรือรายวิชาการฝกประสบการณวิชาชีพต่ํากวา C เปนครั้งที่ 2

                    (ฉ) ถูกลงโทษใหพนสภาพการเปนนักศึกษาตามขอ 17 (4)

                    (ช) ไมลงทะเบียนรายวิชาในภาคการศึกษา หรือไมปฏิบัติตามเงื่อนไขการลาพักการศึกษาตามระเบียบมหาวิทยาลัย

11 : การคืนสภาพนักศึกษาหมายความว่าอย่างไร [ไปบนสุด]

        ที่มา : ระเบียบมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค วาดวยการประเมินผลการศึกษาระดับอนุปริญญาและระดับปริญญาตรี พ.ศ. 2550

        (3) นักศึกษาภาคปกติและภาคพิเศษ จะขอคืนสภาพการเปนนักศึกษาไดก็ตอเมื่อเปนกรณีตามขอ 15 (1) (ช) ไมลงทะเบียนรายวิชาในภาคการศึกษาปกติ หรือไมปฏิบัติตามเงื่อนไขการลาพักการศึกษาตามระเบียบมหาวิทยาลัย และ ขอ 15 (2) (ช) ไมลงทะเบียนรายวิชาในภาคการศึกษา หรือไมปฏิบัติตามเงื่อนไขการลาพักการศึกษาตามระเบียบมหาวิทยาลัย โดยยื่นคํารองขอคืนสภาพตอมหาวิทยาลัยและดําเนินการลงทะเบียนรายวิชาในภาคการศึกษา หรือปฏิบัติตามเงื่อนไขการลาพักการศึกษาตามระเบียบมหาวิทยาลัย

12 : การขอคืนสภาพนักศึกษา วิธีการอย่างไร [ไปบนสุด]

        การขอคืนสภาพนักศึกษา จะกระทำได้เฉพาะนักศึกษาที่พ้นสภาพการเป็นนักศึกษา เนื่องจากสาเหตุที่ไม่ได้ขอพักการเรียน หรือไม่ได้คงสภาพการเป็นนักศึกษา ในภาคเรียนที่มิได้ลงทะเบียน มีขั้นตอนการปฎิบัติดังนี้

        1. เขียนใบคำร้อง เรื่องขอคืนสภาพนักศึกษา

        2. นำไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาพิจารณาเพื่อเสนอความเห็น

        3. ยื่นคำร้องที่กลุ่มงานทะเบียนและประมวลผลเพื่ออนุมัติ

        4. รับใบคำร้องที่อนุมัติแล้วไปชำระเงินค่าธรรมเนียมการขอสภาพจำนวน 200 บาท และชำระค่าบำรุงการศึกษาของภาคเรียนทั้งหมดที่ค้างชำระที่ฝ่ายการเงิน

        5. ส่งใบคำร้องที่มีหลักฐานแสดงว่าชำระเงินแล้วที่กลุ่มงานทะเบียนและประมวลผลเพื่อดำเนินการ

13 : การขอลาพักการเรียนมีวิธีการอย่างไร [ไปบนสุด]

        ที่มา : ระเบียบมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ว่าด้วยการจัดการศึกษาระดับปริญญาตรี พ.ศ. ๒๕๕๐
        ข้อ ๑๓ การลาพักการศึกษาและการกลับเข้าศึกษา

        (๑) นักศึกษาที่มีเหตุจำเป็นอันสมควร อาจลาพักการศึกษาภาคใดภาคหนึ่งก็ได้ เมื่อได้ศึกษาในมหาวิทยาลัยแล้วอย่างน้อย ๑ ภาคการศึกษา โดยยื่นคำร้องต่อมหาวิทยาลัยภายใน ๓๐ วัน นับตั้งแต่วันเปิดภาคการศึกษา หากพ้นกำหนดการลาพักการศึกษาดังกล่าว นักศึกษาอาจขอลาพักการศึกษาเป็นกรณีพิเศษในกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้

                (ก) นักศึกษาเจ็บป่วยต้องพักรักษาตัวเป็นเวลานานตามคำสั่งแพทย์ โดยมีใบรับรองแพทย์จากสถานพยาบาลของทางราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือสถานพยาบาลเอกชน ที่ทางราชการรับรอง

                (ข) นักศึกษามีเหตุจำเป็นสุดวิสัย และได้รับการพิจารณาอนุญาตจากมหาวิทยาลัย

        (๒) นักศึกษาที่ได้รับอนุมัติให้ลาพักการศึกษา ต้องชำระค่าธรรมเนียมเพื่อรักษาสถานภาพทุกภาคการศึกษา ทั้งนี้ลาพักการศึกษาได้ไม่เกิน ๒ ภาคการศึกษาปกติติดต่อกัน

        (๓) นักศึกษาที่ได้รับอนุมัติให้ลาพักการศึกษาหรือถูกสั่งพักการศึกษา เมื่อกลับเข้าศึกษาใหม่จะต้องยื่นคำร้องขอกลับเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยก่อนวันเปิดภาคการศึกษาไม่น้อยกว่า ๑๔ วัน มิฉะนั้นจะไม่มีสิทธิลงทะเบียน รายวิชาในภาคการศึกษานั้น เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากมหาวิทยาลัยเป็นกรณีพิเศษ

        ให้นักศึกษายื่นที่กลุ่มงานทะเบียนและประมวลผล ภายในเวลาอย่างช้าที่สุดไม่เกินวันสุดท้ายของการเรียนในภาคเรียนนั้น หรือตามที่สถาบันกำหนด วิธีการปฎิบัติมีขั้นตอนดังนี้

        1. เขียนใบคำร้อง เรื่องขอลาพักการเรียน

        2. นำไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาลงนามรับทราบและเสนอความเห็น

        3. ยื่นคำร้องที่กลุ่มงานทะเบียนและประมวลผลเพื่อขออนุมัติ

        4. รับใบคำร้องที่พิจารณาอนุมัติแล้วไปชำระค่าบำรุงสถาบันจำนวน 500 บาท ที่ฝ่ายการเงิน

        5. ส่งใบคำร้องที่แสดงว่าชำระเงินแล้วที่กลุ่มงานทะเบียนและประมวลผล เพื่อดำเนินการหากนักศึกษาหยุดเรียนในภาคใดภาคหนึ่งโดยมิได้ขอลาพักหรือขอคงสภาพ นักศึกษาผู้นั้นจะพ้นสภาพการเป็นนักศึกษาทันที

14 : การยกเว้นการเรียนรายวิชาหมายความว่าอย่างไร ? [ไปบนสุด]

        การยกเว้นการเรียนรายวิชา หมายความว่า การนำหน่วยกิตของรายวิชาที่เคยศึกษามาแล้วจากหลักสูตรของสถาบัน จากหลักสูตรซึ่งอนุมัติโดยสภาสถาบันราชภัฎ หรือจากหลักสูตรของสถาบันอุดมศึกษาอื่น ซึ่งมีเนื้อหาสาระความยากง่ายเทียบได้ไม่น้อยกว่ารายวิชาในกลักสูตรของวิทยาลัยครูที่อยู่ในระดับเดียวกันมาใช้ โดยไม่ต้องศึกษารายวิชานั้นอีก

15 : นักศึกษาที่สามารถยกเว้นการเรียนรายวิชาได้จะต้องมีคุณสมบัติอย่างไร [ไปบนสุด]

        นักศึกษาที่มีสิทธิยกเว้นการเรียนรายวิชาต้องเป็นผู้ที่ไม่เคยถูกสั่งให้ออกจากสถานศึกษาเนื่องจากความประพฤติเสียหาย โดยมีสภาพเป็นนักศึกษาอยู่ในปัจจุบัน และมีคุณสมบัติตรงตามข้อใด ข้อหนึ่งต่อไปนี้

        1. สำเร็จการศึกษาหรือเคยศึกษาจากสถาบัน

        2. กำลังศึกษาอยู่ในสถาบัน แล้วลาออกจากโปรแกรมวิชาเดิมเพื่อเข้าศึกษาในโปรแกรมวิชาใหม่

        3. สำเร็จการศึกษาหรือเคยศึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาอื่น

16 : การยกเว้นการเรียนรายวิชามีเงื่อนไขอย่างไร [ไปบนสุด]

        เงื่อนไขการยกเว้นการเรียนรายวิชามีดังนี้คือ

        1. รายวิชาที่ขอยกเว้นต้องได้รับคะแนนไม่ต่ำกว่า ค หรือ ผ หรือเทียบเท่า หรือร้อยละ 60

        2. รายวิชาที่ขอยกเว้นต้องมีเนื้อหาสาระเทียบได้ไม่น้อยกว่ารายวิชาในหลักสูตร

        3. หากขอยกเว้นในระดับปริญญาตรี (หลังอนุปริญญา) รายวิชานั้นต้องไม่เป็นรายวิชาในระดับอนุปริญญาหรือเทียบเท่า หรือรายวิชาที่หลักสูตรกำหนดว่าควรเรียนใน 2 ปีแรกของระดับปริญญาตรี

        4. จำนวนหน่วยกิตที่ได้รับการยกเว้นรวมแล้วต้องไม่เกิน 2 ใน 3 ของหน่วยกิตรวมขั้นต่ำ ซึ่งกำหนดไว้ในโปรแกรมที่กำลังศึกษา

        5. เมื่อได้รับการยกเว้นแล้ว นักศึกษาต้องมีเวลาศึกษาอยู่ในโปรแกรมวิชานั้น ๆ ไม่น้อยกว่า 1 ปีการศึกษา

        6. นักศึกษาที่ขอยกเว้นรายวิชาไม่มีสิทธิได้รับเกียรตินิยม

        7. การขอยกเว้นต้องกระทำในภาคเรียนแรกที่เข้ามาศึกษา และกระทำได้เพียงครั้งเดียว

17 : การโอนผลการเรียนหมายความว่าอย่างไร [ไปบนสุด]

        การโอนผลการเรียน หมายความว่า การนำหน่วยกิตและค่าระดับคะแนนของทุกรายวิชาที่เคยศึกษาจากหลักสูตรของสถาบันราชภัฎ หรือหลักสูตรซึ่งอนุมัติโดยสภาสถาบันราชภัฎมาใช้โดยไม่ต้องศึกษารายวิชานั้นอีก (ยกเว้นสำหรับรายวิชาการฝึกงาน นักศึกษาต้องศึกษารายวิชานั้นใหม่)

18 : นักศึกษาที่สามารถขอโอนผลการเรียนได้จะต้องมีคุณสมบัติอย่างไร [ไปบนสุด]

        นักศึกษาที่สามารถโอนผลการเรียนต้องเป็นผู้ที่ไม่เคยถูกสั่งให้ออกจากสถานศึกษา ตามข้อบังคับของสภาสถาบันราชภัฎ ว่าด้วยการประเมินผลการศึกษาของสถาบัน หรือเนื่องจากความประพฤติเสียหาย โดยมีสภาพเป็นนักศึกษาในปัจจุบันและมีคุณสมบัติตรงตามข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้

        1. เคยศึกษาในสถาบันราชภัฎแล้ว แต่ยังไม่สำเร็จการศึกษา กลับเข้ามาศึกษาในโปรแกรมวิชาใด ๆ ในระดับเดิมอีก

        2. เคยศึกษาในวิทยาลัยครูมาระดับอนุปริญญามาแล้ว แต่ยังไม่สำเร็จการศึกษา กลับเข้ามาศึกษาในโปรแกรมวิชาใด ๆ ในระดับปริญญาตรี

        3. เคยศึกษาอบรมในรายวิชาใดรายวิชาหนึ่งตามหลักสูตรสถาบันราชภัฎ หรือหลักสูตรที่อนุมัติโดยสภาสถาบันราชภัฎที่จัดโดยสถาบันราชภัฎ

        4. ขอย้ายสถานศึกษาจากสถาบันราชภัฎอื่น

        5. เปลี่ยนสภาพจากนักศึกษาภาคปกติเป็นนักศึกษาตามโครงการอื่น ที่ใช้หลักสูตรของสถาบันราชภัฎ หรือในทางกลับกัน

        6. กำลังศึกษาในโปรแกรมวิชาใดวิชาหนึ่งในสถาบันราชภัฎ แล้วเปลี่ยนไปศึกษาโปรแกรมวิชาอื่นในระดับเดียวกัน

        7. กำลังศึกษาโปรแกรมวิชาระดับอนุปริญญาในสถาบันราชภัฎ แล้วเปลี่ยนไปศึกษาโปรแกรมวิชาระดับปริญญา ตรี

        8. สำเร็จการศึกษาโปรแกรมวิชาระดับอนุปริญญาจากสถาบันราชภัฎเข้าศึกษาโปรแกรมวิชาระดับปริญญาตรี

19 : นักศึกษาจะมีสิทธิสอบปลายภาคเรียนได้ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร [ไปบนสุด]

 นักศึกษาจะมีสิทธิสอบปลายภาคเรียน เมื่อนักศึกษามีเวลาเรียนในรายวิชานั้น ๆ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของเวลาเรียนทั้งหมดที่สถาบันกำหนดให้เข้าชั้นเรียน ในกรณีที่เวลาเรียนน้อยกว่าร้อยละ 80 แต่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 ให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะกรรมการที่คณะกรรมการประจำวิทยาลัยแต่งตั้งขึ้นว่าจะให่มีสิทธิสอบหรือไม่

20 : นักศึกษาไม่มีสิทธิสอบปลายภาคเรียนเพราะเหตุใด [ไปบนสุด]

 นักศึกษาไม่มีสิทธิสอบปลายภาคเนื่องจาก

 1. มีเวลาเรียนรายวิชานั้น ๆ น้อยกว่าร้อยละ 80 แต่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 และได้รับการพิจารณาแล้วว่าไม่สมควรมีสิทธิสอบ

 2. มีเวลาเรียนรายวิชานั้น ๆ น้อยกว่าร้อยละ 60 ผู้ที่ไม่มีสิทธิสอบปลายภาคดังกล่าวมานี้ จะได้รับการพิจารณาผลการเรียนเป็น “จ” ยกเว้นคณะกรรมการ ที่คณะกรรมการประจำสถาบันแต่งตั้งขึ้นเห็นสมควรให้ยกเลิกรายวิชา นั้น

21 : นักศึกษาขาดสอบปลายภาคเรียนในรายวิชาที่สอบในตารางจะต้องปฎิบัติอย่างไร [ไปบนสุด]

 นักศึกษาที่มีสิทธิสอบแต่ขาดสอบในวันที่มีการจัดสอบ ให้นักศึกษาดำเนินการยื่นคำร้องขอสอบภายหลังที่ฝ่ายหลักสูตรและแผนการเรียนภายใน 15 วันนับตั้งแต่การเปิดเรียนของภาคเรียนถัดไป หากไม่มาติดต่อขอยื่นคำร้องตามกำหนด นักศึกษาผู้นั้นจะได้รับผลการเรียนเป็น “จ”

22 : การขอสอบภายหลังหมายความว่าอย่างไร [ไปบนสุด]

 การขอสอบภายหลัง หมายความว่า การขออนุญาตสอบของผู้ที่มีสิทธิสอบปลายภาคเรียนซึ่งขาดสอบในวันที่รายวิชานั้น ๆ จัดสอบในตาราง ซึ่งการที่จะได้รับการอนุญาตหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคณะกรรมการที่สถาบันแต่งตั้ง

23 : การขอสอบภายหลังมีวิธีการปฏิบัติอย่างไร [ไปบนสุด]

 การขอสอบภายหลังของนักศึกษาที่มีสิทธิสอบแต่ขาดสอบปลายภาคเรียน ให้ปฎิบัติดังนี้

 1. เขียนใบคำร้อง ขอเลื่อนสอบปลายภาค

 2. นำใบคำร้องไปให้อาจารย์ที่ปรึกษา และอาจารย์ผู้สอนเสนอความเห็นตามลำดับ

 3. ยื่นใบคำร้องที่กลุ่มงานทะเบียนและประมวลผล พร้อมแนบหลักฐานที่แสดงความจำเป็น หรือเหตุผลของการขาดสอบมาด้วย เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณาตัดสิน

 4. รับทราบผลการพิจารณาของคระกรรมการได้ที่กลุ่มงานทะเบียนและประมวลผล

 5. นำคำสั่งที่ได้รับอนุญาตแล้วไปติดต่อขอสอบกับผู้สอน

 6. หากไม่ได้รับอนุญาตให้สอบ หรือได้รับอนุญาต แต่นักศึกษาไม่มาสอบตามที่ผู้สอนกำหนดนัด นักศึกษาผู้นั้นจะได้รับผลการเรียนเป็น “ จ”

 7. การดำเนินงานทั้งหมดนี้ ต้องกระทำให้เสร็จสิ้นในภาคเรียนถัดจากภาคเรียนที่ขาดสอบ

24 : นักศึกษาจะต้องปฏิบัติตนในการเข้าสอบอย่างไร [ไปบนสุด]

ในการสอบ นักศึกษาต้องปฏิบัติดังนี้

 1. แต่งกายถูกต้องตามระเบียบของสถาบัน และประพฤติตนเป็นสุภาพชน

 2. แสดงบัตรประจำตัวนักศึกษาแก่ผู้กำกับการสอบ

 3. รู้กำหนดวัน เวลา และสถานที่สอบอย่างแน่ชัดล่วงหน้า

 4. ไปถึงสถานที่สอบก่อนเวลาเริ่มสอบตามสมควร ผู้ที่ไปไม่ทันเวลาลงมือสอบวิชาใดจะไม่มีสิทธิเข้าสอบวิชานั้น แต่สำหรับการสอบวิชาแรกในตอนเช้าของแต่ละวัน ผู้ที่มาเข้าสอบหลังลงมือสอบแล้ว 15 นาที จะไม่ได้รับอนุญาตให้สอบในวิชานั้น

 5. ไม่เข้าห้องสอบก่อนได้รับอนุญาต และไม่นำเอกสารใด ๆ เข้าห้องสอบ

 6. นั่งประจำโต๊ะที่กำหนดให้ ไม่เปลี่ยนที่นั่งก่อนได้รับอนุญาต

 7. ปฎิบัติตามระเบียบแบบแผนเกี่ยวกับการสอบและคำสั่งของผู้กำกับการสอบ

 8. ระมัดระวังมิให้ผู้เข้าสอบคนอื่นมีโอกาสคัดลอกคำตอบของตน

 9. ไม่ติดต่อหรือพูดจากับผู้หนึ่งผู้ใดในเวลาสอบ หากมีข้อสงสัยหรือมีกิจจำเป็นให้แจ้งต่อผู้กำกับการสอบ

 10. ผู้ใดสอบเสร็จก่อนผู้นั้นต้องออกไปห่างจากห้องสอบ และไม่ทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนผู้ที่ยังสอบอยู่ ทั้งนี้ผู้ผู้เข้าสอบจะออกจากห้องสอบก่อนเวลา 20 นาทีหลังเริ่มสอบวิชานั้น ๆ ไม่ได้

 11. ไม่นำกระดาษสำหรับเขียนตอบที่ผู้กำกับการสอบแจกให้ออกไปจากห้องสอบ

25 : นักศึกษาที่พยายามกระทำการทุจริตในการสอบจะถูกลงโทษอย่างไร [ไปบนสุด]

 หากนักศึกษาผู้ใดฝ่าฝืนระเบียบว่าด้วยการปฎิบัติของผู้เข้าสอบ หรือพยายามกระทำทุจริตในการสอบวิชาใด เมื่อได้สอบสวนแล้ว นักศึกษาจะถูกลงโทษตามข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

 1. ไม่ให้เข้าสอบในวิชานั้น

 2. ไม่ตรวจคำตอบวิชานั้นของผู้นั้น โดยถือว่าสอบตกเฉพาะวิชา ถ้าการกระทำผิดดังกล่าวเข้าลักษณะร้ายแรง ผู้นั้นอาจไม่ได้เข้าสอบอีกก็ได้ ถ้าผู้กระทำผิดเป็นข้าราชการสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จะได้รับการพิจารณาความผิดและ ลงโทษทางวินัยตามกฎหมายด้วย

26 : นักศึกษาที่กระทำทุจริตในการสอบจะถูกลงโทษอย่างไร [ไปบนสุด]

 หากนักศึกษากระทำการทุจริตในการสอบสวนแล้วนักศึกษาจะถูกลงโทษด้วยการไม่ได้รับการตรวจคำตอบโดยถือว่าสอบตกทุกวิชาในการสอบคราวนั้น ถ้าผู้กระทำผิดเป็นข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ จะถือว่าเป็นความประพฤติชั่วร้ายแรง ผู้นั้นจะถูกสอบสวนเพื่อไล่ออกหรือถูกปลดออกจากราชการตามกฎหมายด้วย

 ในกรณีทุจริตในการสอบด้วยวิธีการคัดลอกคำตอบระหว่างผู้เข้าสอบด้วยกัน จะสันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้เข้าสอบนั้นสมคบกันกระทำทุจริต

27 : การยกเลิกรายวิชาหมายความว่าอย่างไร [ไปบนสุด]

 การยกเลิกรายวิชา หมายความว่า การขอยกเลิกวิชาเรียนซึ่งลงทะเบียนไปแล้ว และพ้นกำหนดการถอนรายวิชาเรียนตามระเบียบ วิชาที่ขอยกเลิกนั้นไม่นำมานับหน่วยกิต หากมิใช่วิชาบังคับไม่จำเป็นต้องเรียนซ้ำ

 อย่างไรก็ตามสำหรับนักศึกษาภาคปกติ วิชาที่ขอยกเลิกนั้นจะถูกบันทึกลงในระเบียบการเรียนด้วยอักษร “ ย”

28 : การยกเลิกรายวิชาจะต้องทำอย่างไร [ไปบนสุด]

 นักศึกษาที่จะขอยกเลิกรายวิชา จะต้องดำเนินการอย่างช้าที่สุด 1 สัปดาห์ก่อนกำหนดสอบปลายภาค หรือตามกำหนดของสถาบัน โดยมีขั้นตอนดังนี้คือ

 1. นำใบคำร้อง ขอยกเลิกรายวิชา ไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาลงนามรับทราบและเสนอความเห็น แล้วให้อาจารย์ผู้สอนอนุญาต

 2. ยื่นใบคำร้องที่กลุ่มงานทะเบียนและประมวลผล เพื่อบันทึกในระเบียบนักศึกษาให้ต่อไป

29 : การเพิ่มรายวิชาหมายความว่าอย่างไร [ไปบนสุด]

 การเพิ่มรายวิชา หมายความว่า การขอลงทะเบียนรายวิชาเพิ่มเติมจากลงทะเบียน และชำระเงินไปแล้วจำนวนหน่วยกิต เมื่อรวมแล้วต้องไม่เกินที่สถาบันกำหนด ให้ลงทะเบียนในแต่ละภาคเรียน ทั้งนี้ตารางเรียนและตารางสอนของรายวิชาที่ลงทะเบียนต้องไม่ซ้ำซ้อนกัน

30 : การถอนรายวิชาหมายความว่าอย่างไร [ไปบนสุด]

 การถอนรายวิชา หมายความว่า การขอถอนรายวิชาที่ได้ลงทะเบียนเรียนและชำระเงินเป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยจะได้รับเงินค่าหน่วยกิตคืนบางส่วนตามระเบียบการเงิน ทั้งนี้จะกระทำได้ภายในช่วงเวลาที่สถาบันกำหนด รายวิชาที่ขอถอนจะไม่ถูกบันทึกลงในทะเบียนการเรียน

31 : การขอถอนรายวิชามีวิธีปฏิบัติอย่างไร [ไปบนสุด]

 นักศึกษาที่จะขอถอนรายวิชาจะต้องดำเนินการภายในวันเวลาที่สถาบันกำหนด โดยปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้คือ

 1. เขียนใบคำร้อง ขอถอนรายวิชา

 2. นำใบคำร้องไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาลงนามรับทราบและเสนอความเห็น

 3. นำใบคำร้องไปให้ผู้สอนลงนามอนุญาต

 4. ยื่นใบคำร้องที่กลุ่มงานทะเบียนและประมวลผล พร้อมแนบสำเนาใบลงทะเบียนที่แสดงชื่อรายวิชาที่ขอถอน เพื่อดำเนินการขออนุมัติ

 5. รับใบคำร้องที่อนุมัติแล้วไปขอรับเงินคืนที่ฝ่ายการเงิน

32 : การขอเรียนสมทบกับภาค กศ.บป. ของนักศึกษาภาคปกติมีวิธีปฎิบัติอย่างไร [ไปบนสุด]

 ในขณะที่นักศึกษาภาค กศ.บป. ไม่มีสิทธิขอเรียนสมทบร่วมกับนักศึกษาภาคปกติ แต่นักศึกษาภาคปกติขอ เรียนสมทบกับนักศึกษาภาค กศ.บป. ได้ในกรณีที่รายวิชาที่ต้องการเรียนไม่เปิดในภาคปกติ และเป็นเทอมสุดท้ายที่จะสำเร็จการศึกษา ทั้งนี้จำนวนหน่วยกิตรวมแล้วต้องไม่เกินที่สถาบันกำหนด วิธีปฎิบัติมีขั้นตอนดังนี้

 1. เขียนใบคำร้อง ขอเรียนสมทบ

 2. นำใบคำร้องไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาเสนอความเห็น

 3. นำใบคำร้องไปให้ผู้สอนลงนามอนุญาต

 4. ส่งใบคำร้องที่กลุ่มงานทะเบียนและประมวลผล พร้อมแนบหลักฐานต่อไปนี้

 4.1 หนังสือยินยอมของผู้ปกครองที่อนุญาตให้เรียนนอกเวลาราชการ

 4.2 สำเนาใบลงทะเบียนที่แสดงชื่อรายวิชาที่ขอเรียนสมทบ (ในกรณีที่ลงทะเบียนแล้วและเป็นการเพิ่มรายวิชา)

 4.3 ใบลงทะเบียน (ในกรณีที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนตามวันเวลาที่ สถาบันกำหนด)

 5. นำใบคำร้องที่ได้รับอนุมัติแล้ว ไปฝนรหัสเพื่อลงทะเบียนเรียน

 6. ส่งสำเนาใบลงทะเบียนหรือใบลงทะเบียนที่แสดงว่าชำระเงินแล้วที่กลุ่มงานทะเบียนและประมวลผล เพื่อดำเนินการบันทึกรายวิชาในระเบียนของนักศึกษาต่อไป

33 : การขอย้ายสถานศึกษามีวิธีปฏิบัติอย่างไร [ไปบนสุด]

 นักศึกษาที่มีความจำเป็นต้องย้ายจากสถาบันซึ่งกำลังศึกษาที่อื่นในสังกัดเดียวกันให้ปฏิบัติดังนี้

 1. เขียนใบคำร้อง ขอย้ายสถานศึกษา

 2. นำใบคำร้องไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาเสนอความเห็น

 3. ยื่นใบคำร้องที่กลุ่มงานทะเบียนและประมวลผลเพื่อดำเนินการขออนุมัติ และให้ฝ่ายธุรการออกหนังสือสอบถามและส่งตัว

 4. รับทราบผลที่กลุ่มงานทะเบียนและประมวลผลตามกำหนดนัด หากไม่ได้รับการปฏิเสธ ให้ดำเนินการเรื่องย้ายต่อไป

34 : การขอแก้ชื่อ สกุล ยศ และคำนำหน้านามมีวิธีปฏิบัติอย่างไร [ไปบนสุด]

 นักศึกษาที่ประสงค์จะแก้ชื่อตัว ชื่อสกุล ยศ หรือคำนำหน้านาม ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้คือ

 1. เขียนใบคำร้องทั่วไปเรื่อง ขอแก้ชื่อ สกุล ยศ หรือคำนำหน้านาม

 2. นำใบคำร้องไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาลงนามรับทราบ

 3. ยื่นใบคำร้องที่กลุ่มงานทะเบียนและประมวลผล พร้อมแนบสำเนาหลักฐานการเปลี่ยนที่หน่วยราชการผู้รับผิดชอบออกให้ ดำเนินการ

35 : นักศึกษาที่จะสำเร็จการศึกษาจะต้องมีคุณสมบัติอย่างไร [ไปบนสุด]

 การสําเร็จการศึกษา ผูที่สําเร็จการศึกษาตามหลักสูตรเกณฑปกติตองมีคุณสมบัติดังนี้

 (1) มีความประพฤติดี

 (2) สอบไดในรายวิชาตางๆครบตามหลักสูตรรวมทั้งรายวิชาที่สภามหาวิทยาลัยกําหนด

 (3) ไดคาระดับคะแนนเฉลี่ยสะสมไมต่ํากวา 2.00

 (4) หลักสูตรปริญญาตรี (4 ป) สําเร็จการศึกษาไดไมกอน 6 ภาคการศึกษาปกติ

 (5) หลักสูตรปริญญาตรี (5 ป) สําเร็จการศึกษาไดไมกอน 8 ภาคการศึกษาปกติ

 (6) หลักสูตรปริญญาตรี (ไมนอยกวา 6 ป) สําเร็จการศึกษาไดไมกอน 10 ภาคการศึกษาปกติ

 (7) หลักสูตรปริญญาตรี (ตอเนื่อง) สําเร็จการศึกษาไดไมกอน 4 ภาคการศึกษาปกติ

 (8) มีสภาพเปนนักศึกษาไมเกิน 8 ภาคการศึกษาปกติติดตอกัน ในกรณีหลักสูตร 2 ป ไมเกิน 16 ภาคการศึกษาปกติติดตอกัน ในกรณีหลักสูตร 4 ป ไมเกิน 20 ภาคการศึกษาปกติติดตอกัน ในกรณีหลักสูตร 5 ป และไมเกิน24 ภาคการศึกษาปกติติดตอกัน ในกรณีหลักสูตรไมนอยกวา 6 ป

กรณีที่นักศึกษาอาจสําเร็จการศึกษากอนกําหนดตาม(4) (5) (6) และ (7) ใหผานความเห็นชอบจากสภามหาวิทยาลัย

36 : การขอสำเร็จการศึกษามีวิธีปฏิบัติอย่างไร [ไปบนสุด]

 นักศึกษาที่ทราบว่าตนสำเร็จการศึกษาในภาคเรียนใด จะต้องปฏิบัติดังนี้

 1. เขียนใบคำร้อง ขอสำเร็จการศึกษา

 2. นำใบคำร้องไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาและกองพัฒนานักศึกษาเสนอความเห็นตามลำดับ

 3. นำใบคำร้องไปชำระเงินค่าลงทะเบียนบัณฑิตที่และกองพัฒนานักศึกษา จำนวน 500 บาท

 4. ส่งใบคำร้องที่กลุ่มงานทะเบียนและประมวลผล แล้วรอการอนุมัติตามกำหนดเวลาที่สถาบันกำหนด

 5. หากนักศึกษาไม่สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร ภายในภาคการศึกษาที่ยื่นความจำนงขอสำเร็จการศึกษา ด้วยเหตุใดก็ตาม แบบคำร้องฉบับนี้จะเป็นโมฆะ และต้องยื่นแบบคำร้องของสำเร็จการศึกษาใหม่ ในภาคการศึกษาถัดไปที่คาดว่าจะสำเร็จการศึกษา

37 : การขอถอนเงินค่าประกันของเสียหายคืนมีวิธีปฏิบัติอย่างไร [ไปบนสุด]

 นักศึกษาที่ขอลาออก ขอย้ายสถานศึกษา หรือขอสำเร็จการศึกษา ซึ่งยื่นเรื่องต่อสถาบันและได้รับการอนุมัติแล้วสามารถขอถอนเงินค่าประกันของเสียหายคืนได้ ภายในเวลาไม่เกิน 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ได้รับการอนุมัติ โดยปฏิบัติดังนี้

 1. นำใบรายงานผลการเรียนใบรับรองคุณวุฒิที่สำเร็จการศึกษา หรือคำร้องให้ออก/ลาออก/พ้นสภาพ ที่อนุมัติแล้ว ไปขอรับเงินคืนที่ฝ่ายการเงิน

38 : ระบบการให้คะแนนในการประเมินผลวิชาที่เรียนเป็นอย่างไร [ไปบนสุด]

 มีการประเมินผลการศึกษารายวิชาตางๆตามหลักสูตรซึ่งแบงออกเปน 2 ระบบคือ

 (1) ระบบคาระดับคะแนนแบงเปน 8 ระดับ

 (2) ระบบไมมีคาระดับคะแนนกําหนดสัญลักษณการประเมินดังนี้

 ระบบนี้ใชสําหรับการประเมินผลรายวิชาที่หลักสูตรบังคับใหเรียนเพิ่ม ตามขอกําหนดเฉพาะรายวิชาที่สภามหาวิทยาลัยกําหนดใหเรียนเพิ่ม รายวิชาใดที่ไดผลการเรียน F นักศึกษา จะตองลงทะเบียนเรียนใหมจนกวาจะสอบได

 สัญลักษณอื่น ๆ มีความหมายดังนี้
 (1) Au (Audit) ใชสําหรับการลงทะเบียนเพื่อรวมฟง โดยไมนับหนวยกิตและสามารถปฏิบัติงานตามเกณฑที่อาจารยผูสอนกําหนด

 (2) W (Withdraw) ใชสําหรับการบันทึกกรณีดังตอไปนี้

 (ก) นักศึกษาขอยกเลิกรายวิชาเรียนเมื่อพนกําหนด 15 วัน นับแตวันเปดภาคการศึกษาหรือตามที่มหาวิทยาลัยกําหนด และตองกระทํากอนกําหนดสอบปลายภาคการศึกษาไมนอยกวา 2 สัปดาห

 (ข) กรณีที่นักศึกษาลาพักการศึกษา หรือถูกสั่งใหพักการศึกษาหลังจากลงทะเบียนเรียนในภาคการศึกษานั้นแลว

 (3) I (Incomplete) ใชสําหรับการประเมินในรายวิชาที่นักศึกษาทํางานไมสมบูรณ เมื่อสิ้นภาคการศึกษาหรือขาดสอบปลายภาคการศึกษา นักศึกษาที่ได “I” ตองดําเนินการขอรับการประเมิน เพื่อเปลี่ยนระดับคะแนน ตามกรณีดังตอไปนี้

 (ก) กรณีที่นักศึกษาทํางานไมสมบูรณเมื่อสิ้นภาคการศึกษา ใหอาจารยผูสอนพิจารณากําหนดระยะเวลาทํางานของนักศึกษา หากยังทํางานไมสมบูรณตามกําหนดระยะเวลา ใหพิจารณาประเมินผลการเรียนจากคะแนนที่มีอยูแลว และใหดําเนินการสงผลการเรียนภายในภาคการศึกษาถัดไป

 (ข) กรณีที่นักศึกษาขาดสอบปลายภาคการศึกษา ใหนักศึกษาดําเนินการยื่นคํารองขอสอบภายใน 15 วัน นับแตวันเปดภาคการศึกษาถัดไป เมื่อไดรับอนุมัติจากมหาวิทยาลัยแลวใหดําเนินการสอบใหเสร็จสิ้นและใหอาจารยผูสอนสงผลการเรียนภายในภาคการศึกษาถัดไป ในกรณีนักศึกษาไมมายื่นคํารองขอสอบภายใน 15 วันนับแตวันเปดภาคการศึกษาถัดไป ใหนายทะเบียนเปลี่ยนผลการเรียนเปน “E”

39 : เกณฑ์ที่ถือว่าสอบได้ในแต่ละรายวิชาเป็นอย่างไร [ไปบนสุด]

 นักศึกษาจะตองมีผลการเรียนไดระดับคะแนนเปน A, B+, B, C+, C, D+, D จึงจะถือวาสอบได รายวิชาใดไดคาระดับคะแนนเปน E ตองลงทะเบียนและเรียนใหมจนกวาจะสอบได ยกเวนรายวิชาเลือกสามารถเปลี่ยนไปเลือกรายวิชาอื่นที่อยูในกลุมเดียวกันแทนได้

 สําหรับการประเมินผลรายวิชาเตรียมฝกประสบการณวิชาชีพ และรายวิชาการฝกประสบการณวิชาชีพ ถาไดระดับคะแนนต่ํากวา C ถือวาสอบตก นักศึกษาจะตองลงทะเบียนเรียนใหม และถาไดผลการประเมินต่ํากวา C เปนครั้งที่สอง ถือวาพนสภาพการเปนนักศึกษา

40 : นักศึกษาที่สอบตกหรือไม่ผ่านเกณฑ์จะต้องปฏิบัติอย่างไร [ไปบนสุด]

 นักศึกษาภาคปกติที่สอบรายวิชาใดได้ “E” จะต้องลงทะเบียนวิชานั้นซ้ำ โดยจะลงทะเบียนเรียนซ้ำกี่ครั้งก็ได้จนกว่าจะสอบได้ ทั้งนี้จำนวนหน่วยกิตของวิชาที่สอบตก จะนำมานับรวมเพื่อเป็นตัวหารในการหาระดับคะแนนเฉลี่ยสะสม

41 : นักศึกษาลงทะเบียนเรียนได้กี่หน่วยกิตในแต่ละภาคเรียน [ไปบนสุด]

 จํานวนหนวยกิตที่นักศึกษาลงทะเบียนแตละภาคการศึกษา ซึ่งไมนับรวมหนวยกิตของรายวิชาที่ตองศึกษาโดยไมนับหนวยกิต มีดังนี้

 (ก) นักศึกษาภาคปกติ ใหลงทะเบียน ไมเกิน ๒๒ หนวยกิตในแตละภาคการศึกษาปกติ สําหรับภาคฤดูรอน ใหลงทะเบียนเรียนไดไมเกิน ๙ หนวยกิต

 (ข) นักศึกษาภาคพิเศษ ใหลงทะเบียนไดไมเกิน ๑๒ หนวยกิต

 กรณีมหาวิทยาลัยมีเหตุผลและความจําเปนในการลงทะเบียนเรียนที่มีจํานวนหนวยกิตแตกตางไปจากที่กําหนดใหจัดทําเปนประกาศมหาวิทยาลัย

42 : การลงทะเบียนเรียนเกิน หมายความว่าอย่างไร [ไปบนสุด]

 การลงทะเบียนเรียนเกิน หมายความว่า การลงทะเบียนเรียนรายวิชาต่าง ๆ โดยมีจำนวนหน่วยกิตรวมแล้วเกินกว่าจำนวนหน่วยกิตสูงสุดที่กำหนดไว้ โดยนักศึกษาผู้นั้นได้รับอนุญาตจากสถาบันหรือสถาบันเป็นผู้จัดให้ หากนักศึกษาเรียนเกินโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนเกินจะเป็นโมฆะ

43 : นักศึกษาที่สามารถขอลงทะเบียนเรียนเกินได้จะต้องมีเหตุผลอย่างไร [ไปบนสุด]

 นักศึกษาขอลงทะเบียนเรียนเกินได้ก็ต่อเมื่อ ภาคเรียนนั้นเป็นการลงทะเบียนเรียนภาคเรียนสุดท้ายที่จะสำเร็จการศึกษา โดยวิชาที่ขอเรียนเกินนั้นมีเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งดังนี้

 1. เป็นการเรียนซ้ำในรายวิชาที่ได้ “E”

 2. เป็นการเรียนเพิ่มเติมเพื่อทำค่าระดับคะแนนเฉลี่ยสะสมให้ถึง 2.00

 3. เป็นการเรียนตามข้อกำหนดของหลักสูตรโดยไม่นับหน่วยกิต

 4. เป็นการเรียนรายวิชาปฏิบัติการและฝึกประสบการณ์วิชาชีพ

 ทั้งนี้รายวิชาที่ลงทะเบียนทั้งหมดต้องไม่ซ้ำซ้อนกันในตารางเรียนและตารางสอน

44 : การขอลงทะเบียนเรียนเกินหน่วยกิตที่กำหนดให้มีวิธีปฏิบัติอย่างไร [ไปบนสุด]

 นักศึกษาที่ประสงค์จะขอลงทะเบียนเรียนเกินให้ปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้

 1. เขียนใบคำร้อง ขอเรียนเพิ่ม

 2. นำใบคำร้องไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาพbจารณาและลงนามเห็นชอบ

 3. ยื่นใบคำร้องที่กลุ่มงานทะเบียนและประมวลผลเพื่อดำเนินการขออนุมัติ

 4. รับใบคำร้องคืนที่กลุ่มงานทะเบียนและประมวลผลตามกำหนดนัด

 5. หากได้รับอนุมัติให้ดำเนินการลงทะเบียนและชำระเงินได้ต่อไปป

45 : คำตอบที่นักศึกษาต้องการทราบไม่มีอยู่ในนี้จะต้องปฏิบัติอย่างไร [ไปบนสุด]

 หากคำถามคำตอบที่มีอยู่ในคู่มือนี้ไม่ตรงกับปัญหาหรือข้อสงสัยของนักศึกษา ให้สอบถามได้จากอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นลำดับแรก หากคำตอบที่ได้รับยังไม่เป็นที่พอใจ ให้ติดต่อสอบถามจาหน่วยงานต่าง ๆ ของสถาบันตามลำดับดังนี้ ภาควิชา คณะ ฝ่าย ศูนย์/สำนัก